- ยอมรับ เข้าใจ และให้ความร่วมมือ
อันดับแรกทั้งคุณพ่อและคุณแม่รวมถึงบุคคลภายในครอบครัวต้องยอมรับว่าบุตรหลานเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และเชื่ออยู่เสมอว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ทั้งมีความเข้าใจในตัวเด็กร่วมกัน พร้อมให้ความร่วมมือ และมองเห็นภาพในการพัฒนาเด็กไปในทิศทางเดียวกัน
- หาความรู้เพิ่มเติม
ปัจจุบันการเข้าถึงแหล่งข้อมูลก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลแบบออนไลน์ ผู้ปกครองสามารถเข้าไปศึกษา หาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้มีความเข้าใจในโรค ภาวะต่าง ๆ หรือพฤติกรรมของบุตรหลาน การค้นคว้าความรู้ที่หลากหลาย จะช่วยให้พบข้อมูลที่จำเป็นและสามารถนำมาเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ได้
- จัดตารางกิจกรรม
การพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ควรทำให้เป็นกิจวัตร ทำซ้ำๆ ฝึกบ่อยๆ ทบทวนสิ่งเดิม เพิ่มเติมสิ่งใหม่ จะช่วยให้เห็นพัฒนาการของบุตรหลานได้ชัดเจนขึ้น โดยผมแนะนำให้ผู้ปกครองจัดทำตารางกิจกรรม โดยตารางกิจกรรมนี้ ท่านผู้ปกครองสามารถออกแบบเองได้ตามความเหมาะสม การจัดตารางกิจกรรรมจะเป็นเครื่องมือ เพื่อช่วยผู้ปกครองให้ทราบเช่นกันว่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์หรือกิจกรรมใดล่วงหน้า และจะเป็นการฝึกให้เด็กมีวินัย เข้าใจ ยอมรับการทำกิจกรรม เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่ได้แจ้งล่วงหน้าแล้ว เด็กจะต่อต้านน้อย แต่อย่างไรก็ตามการก็ควรมีความยืดหยุ่น และมีช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- จัดกิจกรรมเสริมง่ายๆ
ผู้ปกครองควรหากิจกรรมเสริมง่ายๆ มาใช้เล่นกับบุตรหลาน เพื่อเป็นการเสริมพัฒนาการ และเป็นการเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวไปพร้อมๆกัน ยกตัวอย่าง การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ผู้ปกครองสามารถใช้กิจกรรมศิลปะ การปั้นดินน้ำมัน การตัดกระดาษ การพับกระดาษ ร้อยลูกปัด มาให้เด็กเล่นได้ เป็นต้น แต่ในบางกิจกรรมที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญนั้น ไม่แนะนำให้ท่านนำมาฝึกเอง เพราะอาจเกิดความผิดพลาดและเกิดความรุนแรงต่อเด็กได้
- ใช้การเสริมแรง
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การให้คำชม การสัมผัสเบาๆ หรือการแสดงท่าทางเพื่อบอกว่าเราพอใจ เช่น เมื่อลูกปั้นดินน้ำมันสัตว์บกได้ ผู้ปกครองชมเด็กว่า “เก่งมากเลยลูก” พร้อมกับทำยกนิ้วโป้ง เป็นสัญลักษณ์ว่าทำได้ดี เป็นต้น หรือผู้ปกครองจะให้สิ่งของเป็นรางวัลก็สามารถทำได้ โดยทำการตกลงกับเด็กให้เรียบร้อย และเมื่อเด็กทำได้ตามที่ตกลงกันแล้ว ผู้ปกครองต้องให้รางวัลนั้นทันที และไม่ควรเปลี่ยนข้อตกลงหรือรางวัลหลังการทำกิจกรรมของเด็กเสร็จแล้ว เพราะในครั้งต่อไปเด็กจะไม่ให้ความร่วมมือ กลัวว่าตนจะถูกเอาเปรียบ และไม่ได้รางวัลเหมือนครั้งก่อน ทั้งนี้การเสริมแรง ต้องจัดให้อย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และถ้าเป็นสิ่งที่เด็กชอบเด็กจะต้องการและพยายามทำกิจกรรมมากขึ้น
- ให้กำลังใจ
สิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษให้ดีขึ้น คือ การให้กำลังใจกันและกัน อย่าท้อ อย่ามองว่าด้อยคุณค่า เด็กต้องการกำลังใจ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กก็ต้องการกำลังใจ หันมาให้กำลังใจแก่กันและกัน ร่วมกันพัฒนาบุตรหลานให้มีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นไป

